ดี้ ชนานา

ถูกตราหน้าเป็นดาราตกกระป๋อง! ดี้ ชนานา เปิดใจต้องเฟิร์มถึงจะได้ไปต่อ

Home / Hot Gossip / ถูกตราหน้าเป็นดาราตกกระป๋อง! ดี้ ชนานา เปิดใจต้องเฟิร์มถึงจะได้ไปต่อ

  เปิดใจนักแสดงรุ่นใหญ่ ดี้ ชนานา วัย 55 ปี พูดเลยอายุเท่านี้แต่ยังมีหุ่นที่เป๊ะเว่อร์ อย่างก่อนหน้านี้เจ้าตัวเพิ่งสลัดผ้าอวดหุ่นเฟิร์มในชุดบิกินี่ตัวจิ๋วทำเอาโซเชียลฮือฮาไม่น้อยเลยทีเดียว ได้ฉายา “เจ้าแม่ท่ายาก” นอกจากนั้น ดี้ ชนานา ยังได้พูดถึงเรื่องการแยกทางกับสามี เงินหมดตัวต้องหางานทำ ถูกตราหน้าเป็นดาราตกกระป๋อง ทั้งหมดนี้ต้องใช้ความสตรองแค่ไหนไปติดตามกัน

  ”คำว่า “เจ้าแม่ท่ายาก” จริงๆ ก็ท่าไม่ค่อยยากนะคะ ใครๆ เขาก็ทำได้ โดยส่วนมากคนที่ออกกำลังกายหรือคนเล่นโยคะ เขาก็มักจะทำได้ค่ะ แต่ว่ามันอาจจะดูมหัศจรรย์นิดนึง กลับด้วยวัยที่เราเล่นอะไรแบบนี้ จริงๆ ก็ฝึกมาสักประมาณ 5 ปี อันนี้ที่เล่นแบบจริงๆ จังๆ ช่วงก่อนก็อาการหนักถึงขนาดไปเทคคอสเป็นครูค่ะ แต่ว่าไม่ได้เอาไปสอนใครนะ ก็คือไว้สอนตัวเอง แต่ว่าการเล่นโยคะจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับท่ายากนะ ที่ไปเรียนเป็นครูคือเรียนวิถีชีวิตแบบโยคะ แล้วมันจะสมถะมากขึ้น วิถีชีวิตแบบโยคะจริงๆ แล้วมันก็คล้ายกับวิถีทางศาสนาพุทธนี่แหละค่ะ มีปล่อยวาง ทำจิตใจให้เป็นธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ซึ่งจริงๆ แล้วพวกที่เป็นโยคีเขาจะเป็นมังสวิรัติ จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่จำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ ก็สามารถมีร่างกายที่แข็งแรงได้เหมือนกัน”

  ”อยากจะบอกว่าเราไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อชีวิตหรือว่ามีซิกแพคมาโชว์ จริงๆ ออกกำลังกายมาตลอดตั้งแต่สาวๆ ส่วนซิกแพคเนี่ยมันมาเอง เราไม่ได้ประดิษฐ์ อาหารการกินเราก็กินเยอะมาก กินปกติเลย แต่แค่เป็นคนที่ออกกำลังกายมาโดยตลอดเท่านั้นเอง น้องจากไปฟิตเนสแล้วเวลาอยู่ที่บ้านก็สามารถออกกำลังกายเองได้ แรงบันดาลใจง่ายๆ เลยค่ะ สมมตินะคะว่าคุณนั่งไทม์แมชชีนไปข้างหน้าสักประมาณอายุ 60 อัพไปแล้ว แล้วคุณก็ป่วยสารพัดโรครุมเร้า ต้องนอนกินอาหารอยู่บนเตียง แล้วคุณก็จะนึกได้ว่าทำไมตอนนั้นฉันไม่รู้ขึ้นมาออกกำลังกาย คือในขณะที่เรายังมีแรงอยู่เนี่ย อย่ามาบอกว่าฉันขี้เกียจ ฉันไม่มีแรง เริ่มตั้งแต่วันนี้ดีกว่า”

  ”ออกกำลังกายเพราะเราอกหักแยกทางกับสามี ไม่อกหักค่ะ ดิฉันไม่เคยอกหัก คือตอนนั้นที่คิดว่าจะหย่าแล้วแน่ๆ คือเงินหมดแบงค์แล้วไม่เหลือแล้ว แต่ว่าพอจะหย่าจะทำยังไงดีเงินมันหมด พอเงินหมดเราก็ต้องสมัครงาน จริงๆ แล้วเคยเป็นดารา แล้วก็แต่งงาน พอแต่งงานปุ๊บก็ไม่ได้รับละคร เพราะว่าดันท้องติดกันเพราะเรามีความสามารถพิเศษเป็นแม่พันธุ์ ตอนนั้นพูดจริงๆ คืออยากมีลูก แต่ว่าพอมาท้องสองเรารู้ว่าเราไม่รอดแน่ เพราะเราใช้ตังค์หมดแบงค์แล้ว ก็เลยเขียนจดหมายไปสมัครงาน เป็นบริษัทเครื่องสำอางอะไรแบบนี้ เราก็คิดว่าต้องได้แน่ๆ พ่อคลอดลูกคนที่ 2 ออกมาปั๊บ ตัวบวมฉึ่งเลย แล้วพอเราไปสมัครงานเขาก็พูดว่า เคยเป็นดาราแต่ตอนนี้เขาตกแล้ว เขาพูดใส่หน้าเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้นอ้วนเพราะเพิ่งคลอดลูก แล้วเขาก็บอกเราว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป แค่นี้เราก็รู้แล้วแหละว่าคงไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็หันมาออกกำลังกาย ลดความอ้วน แล้วก็ออกมาประกาศว่าฉันพร้อมแล้วที่จะหย่า”

  ”ที่ออกกำลังกายเพราะเรารู้ว่าเราต้องรับงาน แต่ว่าคำพูดนั้นก็อาจจะมีส่วน แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเราอาจจะมาอยู่งานเบื้องหลัง ยุคนั้นมันไม่ใช่คนที่แบบแต่งงานแล้วจะกลับเข้าวงการได้ เราก็หันมาออกกำลังกายแล้วก็ประกาศลงมาลัยไทยรัฐ อุ้มลูก 2 คนลงหน้า 1 เลย ว่าพร้อมแล้วที่จะรับงาน เป็นแม่หม้ายที่แรงมากในยุคนั้น ทุกคนก็ด่ากันเละเลยว่าทำไมช่างกล้า แต่ก็ได้งานนะคะ พอกลับมาใหม่ก็เป็นผู้ร้ายตลอดเลยทีนี้”

  “โดนเม้าท์ว่าเป็น “ดาราตกกระป๋อง” คือตัวเราก็เป็นตัวเราค่ะ จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนแรง คือคาแรคเตอร์เราอาจจะดูแรง เพราะว่าคนสมัยก่อนเพราะออกมาแล้วก็เล่นเป็นนางเอกไม่ได้แล้ว สังคมไม่ยอมรับ มันไม่เหมือนยุคนี้ที่แต่งงานแล้วยังสามารถมาเล่นอะไรได้ สมัยก่อนบทอะไรมาก็ต้องเล่น เราเล่นบทแม่เร็วมากตั้งแต่ยังไม่ 30 เลย ตอนนั้นคืออะไรก็ได้ต้องเลี้ยงลูกให้รอด แล้วสิ่งสำคัญที่ทำให้เราต้องหันมาออกกำลังกายคือ ในเมื่อเรากลับมารับงานแล้วรูปร่างเราก็ต้องดี เราจะต้องแข็งแรงเพราะลูกตัวเล็กเราเป็นแม่ม่ายลูกสอง เราต้องเลี้ยงลูกห้ามตายก่อนลูก แข็งแรงและไม่เจ็บไม่ป่วย แล้วเราก็ทำมาตลอด เลิกงานมาส่วนมากเราก็จะไปอยู่แต่ตามฟิตเนส แล้วเป็นที่เดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถคลายเครียดได้”

  ”สวย แซ่บ จนผู้ชายวิ่งเข้าหา มีค่ะ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตอนที่เราหย่าผู้ชายเข้ามาเยอะมาก คือเป็นผู้หญิงเรื่องมากไง ถามว่ามีคนจีบไหมมันก็มี แต่ว่าเราจะมีไปเพื่ออะไร เพราะเราก็ลูกสองแล้ว เราก็ต้องรู้ตัวเอง ถ้ามาจีบเพื่อหวังเซ็กส์ก็ไม่รู้จะมีไปทำไม คิดว่ามันไม่จำเป็น แล้วเราเป็นคนเรื่องมากในเรื่องสเปกอีก นิสัยดี หน้าตาดี ฐานะต้องใช้ได้ ชอบคนมีความรู้ พูดจารู้เรื่อง ไม่ใช่มาเกาะดิฉันไม่เอานะคะ เยอะแบบนี้จะไปหาที่ไหนมันไม่มี ไม่ได้ปิดตัวเองนะ เราก็เลยอยู่มาจนถึงป่านนี้ไงคะ”

  ”แต่ก็เคยมีแฟนหลังจากหย่าแล้ว ก็เคยมีค่ะ แต่มันก็ไม่เวิร์คไงคะ คือเรื่องเยอะแล้วพอเจ้าชู้มันก็จบข่าวแล้ว มันก็ไม่ไหว ขี้โกหกขี้หึงก็ไม่ไหว ขี้หึงนี่น่ารังเกียจที่สุด หึงแบบบ้าๆ บอๆ โรคจิต ชอบเช็คทุกอย่าง เคยมีแบบโทรสั่งลูกน้องว่าให้ไปอัดคนนู้นคนนี้ บ้าหรือเปล่า เราก็เลยอยู่ด้วยไม่ได้”

  ”พอมีคนมาจีบลูกๆ ว่ายังไงบ้าง ทั้งลูกทั้งแม่เราจะคุยกันทุกเรื่องอยู่แล้ว ใครมาจีบลูกหรือลูกจะไปจีบใคร หรือลูกอกหัก แม่อกหักก็ปลอบกันไป ไม่มีใครว่าอะไร บ้านนี้เราอยู่กันแบบสบายมากเพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่อง ถ้าเด็กๆ มาจีบ ไม่ชอบค่ะ(หัวเราะ) เห็นที่ได้เห็นเป็นลูกหมดอ่ะ เคยมีนะฝรั่งมาจีบส่วนมากก็เด็กหมดเลย เราก็แบบ อุ๊ยตายแล้ว! รุ่นลูกเราหมดเลยจะเอาไปทำอะไร”

  ”ปิดประตูตายเรื่องความรักกับชีวิตไหม ไม่ปิดนะ แต่คิดว่ามันหมดวัยแล้วไง อย่างที่บอกว่าสาวโสดยังมีอีกเยอะแยะ แล้วใครมันจะมามองเรา ผู้ชายยุคนี้มีผู้หญิงแบบเยอะมากไว้ให้ผู้ชายมอง แล้วคนก็จะบอกอีก ว่าทำไมไม่ไปดูพ่อหม้ายบ้าง แล้วพ่อหม้ายนะคะถ้าเกิดมันดีจริงผู้หญิงที่ไหนมันจะทิ้งลองคิดดูดีๆ นะ”

  ”ฝากถึงคนที่เป็นซิงเกิ้ลมัม บางคนที่ทนอยู่ อาจจะเป็นเพราะรักนะคะ อยากให้ลองชั่งน้ำหนักดูว่า รักหรือทุกข์มันมากกว่ากัน ถ้าคุณคิดว่าอยู่ตรงนั้นแล้วมันมีความรัก ความสุข มากกว่าคุณก็อยู่ แต่ถ้าเกิดอยู่ไม่ได้ค่อยออกมา และการที่จะออกมาเนี่ยคุณต้องสตรองพอ เตรียมตัวให้พร้อม อย่าคิดว่าอนาคตจะมีใครมารักคุณมากกว่าอะไรแบบนี้ ถ้าจะก้าวออกมาคือต้องรักตัวเองค่ะ” ดี้ ชนานา กล่าว

ขอบคุณ ภาพและข้อมูลจากรายการ คุยแซ่บShow และภาพเพิ่มเติมจากไอจี chanana_dee

 

 

 

ดี้ ชนานา
ดี้ ชนานา